องค์ประกอบของร่างกาย
องค์ประกอบของร่างกายจะเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดเรียกว่า เซลล์ (Cell) เซลล์หลาย ๆ เซลล์จะรวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื้อ (Tissue) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่างเนื้อเยื้อหลายๆชนิดจะรวมตัวเป็นอวัยวะ(Organ) เพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง อวัยวะหลายๆอวัยวะทำหน้าที่ประสานกันเป็นระบบ (System) ระบบทุกระบบประสานกันเป็นร่างกาย
ร่ายกายคนเรามีอวัยวะมากมายหลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันออกไปอวัยวะที่ทำงานประสานกันเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งในร่างกายเรียกว่า ระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะในร่างกายคนเราแบ่งออกตามหน้าที่ได้หลายระบบ ได้แก่ ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์และระบบต่อมไรท่อ
ระบบห้อหุ้มร่างกาย
ระบบห่อหุ้มร่างกาย (The Integumentary System) ประกอบด้วยผิวหนัง เล็บ ขน และผม โดยแต่ละอวัยวะมีโครงสร้างและความสำคัญ ดังนี้
1.ผิวหนัง
ผิวหนัง (Skin) เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุดในร่างกาย ใช้เลือดหล่อเลี้ยงในปริมาณ1/3ของเลือดในร่างกาย ลักษณะของผิวหนังจึงแสดงให้เห็นถึงระดับคุณภาพของคนเราได้โดยผู้ที่มีสุขภาพดีจะมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม ส่วนผู้ที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ผิวหนังจะซีดเซียว แห้ง หรืออาจเป็นโรคผิวหนังต่างๆเช่น ผดผื่น คัน หิด กลาก เกลื้อน
- โครงสร้างของผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ได้แก่
1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) คือ ผิวหนังชั้นนอก มีลักษณะบางมาก จะมีเซลล์อยู่เป็นชั้นๆส่วนของเซลล์ด่านล่างจะทำหน้าที่สร้างเซลล์ใหม่ตลอดเวลา โดยจะดันเซลล์เก่าออกมาเซลล์ด้านนอกจะค่อยๆแห้งตาย และหลุดออกมาเป็นขี้ไคล (Keratin) ความหน้าของหนังกำพร้าในแต่ละส่วนของร่างกายจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับตำแหน่งและหน้าที่ ส่วนที่บางที่สุดอยู่ที่บริเวณหนังตาและหนังหู ส่วนที่หนาที่สุดอยู่ที่ฝ่ามือ ซึ้งผิวหนังของแต่ละคนจะมีสีแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเซลล์สร้างเมล็ดสีที่เรียกว่าเมลานิน (Melanin) ที่อยู่ชั้นลึกสุดของผิวหนังกำพร้าถ้ามีเมลานินมากผิวก็จะคล้ำ ถ้ามีน้อยก็จะขาว
ขอบคุณที่มา https://sebamedthai.com/structure-skin/
2. ชั้นหนังแท้ (dermis)คือ ผิวหนังที่อยู่ถัดจากผิวหนังกำพร้าเข้าไปประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่สำคัญได้แก่หลอดเลือดฝอยเส้นประสาท ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และขอนหรือผม ในชั้นหนังแท้มีหลอดเลือดฝอยเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำหน้าที่นำเลือดมาหล่อเลี้ยงผิวหนังมีเส้นประสาทรับความรูสึกต่างๆการกระจัดกระจายมีทั่วไป นอกจากนี้ยังมีต่อมเหงื่อที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนออกจากร่างกาย มีต่อมไขมันที่พบได้ในผิวหนังเกือบทั้งหมดที่มีขน และชั้นหนังแท้ยังเป็นชั้นผิวหนังที่ผลิตขนและผมของร่างกายอีกด้วย ถัดเข้าไปจากชั้นหนังแท้จะเป็นชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อไขมันเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่คล้ายฉนวนกันความร้อนและเป็นเบาะกันสะเทือนได้เป็นอย่างดี
- หน้าที่ของผิวหนัง มีดังนี้
1. ป้องกันร่างกาย ผิวหนังสามารถป้องกันร่างกายในเรื่องต่อไปนี้
- ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายในร่างกาย โดยทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อวัยวะภายในร่างกายได้รับอันตรายจากการถูกกระทบกระเทือนจาก สารเคมี สารพิษ เชื้อโรค และรังสีเนื่องจากผิวหนังมีคุณสมบัติยืดหยุ่น หนา และเหนียว ช่วยลดแรงกระแทก ลดการดูดซึมของสารเคมี
- ป้องกันเชื้อโรค ผิวหนังมีสารที่ช่วยทำลายจุลินทรีย์ได้บางส่วน จึงลดจำนวนเชื้อโรคลงได้ การห่อหุ้มร่างกายก็เป็นเสมือนเกราะไม่ให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายนอกจากนี้ไขมันที่ถูกผลิตโดยชั้นผิวหนังมีสภาพเป็นกรดช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
- ป้องกันการระเหยและการซึมน้ำ เพราะหนังกำพร้ามีสารเคราติน (keratin) ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำได้ จึงทำให้เราสามารถว่ายน้ำได้เป็นเวลานานๆ
- ป้องกันแสงต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย เช่น แสงแดด เวลาถูกแสงแดดเซลล์ของหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีเมลานิน (melanin) จะดูดแสงแดดเอาไว้ และกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานินมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดทะลุเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง
2. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระบบปกติโดยผ่านการทำงานของการหดหรือขยายตัวของหลอดเลือดที่ผิวหนังและการทำงานของต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายได้รับความร้อนเส้นเลือดจะขยายตัวเพื่อให้เลือดไหลสู่พื้นผิวมากขึ้น และในทางตรงข้ามเส้นเลือดจะหดตัวเมื่ออากาศเย็นเพื่อรักษาความร้อนให้คงอยู่ในร่างกาย ส่วนต่อมเหงื่อที่มีอยู่ในบริเวณชั้นผิวหนังต่างๆ ของร่างกายจะผลิตเหงื่อออกมา ความร้อนก็จะละเหยไปกับเหงื่อทำให้รู้สึกเย็นลง
3. รักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย โดยต่อมไขมันจะผลิตน้ำมาเลี้ยงผิวหนังในชั้นของหนังกำพร้าทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่นเต่งตึง ไม่แห้งกร้าน เหงื่อที่ถูกขับออกมามีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง นอกจากนี้ผิวหนังยังป้องกันไม่ให้น้ำจากภายนอกซึมเข้าไปในร่างกายและไม่ให้น้ำภายในละเหยออกไปง่ายๆ
4. ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายในรูปแบบของเหงื่อ เช่น ยูเรีย ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่ภายในร่างกายไม่ต้องการ
5. เป็นแหล่งสร้างวิตามินดีให้กับร่างกาย โดยอาศัยแสงแดดช่วยสังเคราะห์สาร 7 –ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล (7-dehydrocholesterol) ที่อยู่ในผิวหนังให้เป็นวิตามินดีสามได้ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกอ่อน
6. เป็นอวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ โดยมีประสาทรับรู้ความรู้สึกหลายชนิดและจำนวนมากอยู่ในบริเวณหนังแท้ เช่น ความรู้สึกร้อน เย็นหรือความรู้สึกเจ็บปวด
- ความผิดปกติของผิวหนัง
ความผิดปกติของผิวหนังอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากโรคภัยไข้เจ็บ จากอุบัติเหตุต่างๆ ตลอดจนการทำงานของต่อมภายในร่างกายที่ผิดปกติ ซึ่งความผิดปกติที่พบบ่อยได้แก่
1. สิว (acne) เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในช่วงวัยรุ่น ส่งผลให้ต่อมไขมันขับไขมันออกมามาก เมื่อไขมันแข็งตัวอุดตันต่อมไขมันและรูขนก็จะทำให้เกิด สิวเสี้ยน และถ้าถูกไขมันขับออกมาใหม่ดันจนนูนขึ้นจะเป็น หัวสิว ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียคุกคามเข้าไปยังต่อมไขมันละรูขนที่เป็นสิวนั้นจะเกิดการอักเสบ บวมแดง และเป็นหนอง ซึ่งบางคนเรียกสิงชนิดนี้ว่า สิวหัวช้าง นอกจากนี้ สิวยังอาจเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีมากผิดปกติ อากาศที่ร้อนชื้นทำให้เหงื่อออก ผิวหนังสกปรก ภาวะตึงเครียด หงุดหงิด การใช้เครื่องสำอางที่เป็นน้ำมันหรือครีมอาจทำให้มีการอุตันของรูขนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ เมื่อเป็นสิวควรล้างด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆอย่าใช้มือแกะหรือบีบ หัวสิวเพราะทำให้สกปรก ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารมันๆหรือหวานจัด นอกจากนี้พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกวิตกกังวล และหากเป็นสิวมากควรปรึกษาแพทย์
2. ตาปลา (corn) เกิดจากแรงกดหรือมีแรงเสียดสีผิวหนังบริเวณนั้นบ่อยๆทำให้ผิวหนังค่อยๆด้านหรือหนาขึ้น มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆแข็งๆ และเจ็บปวดมากเมื่อเม็ดกลมๆนั้นกดลงบนเนื้ออ่อนที่อยู่ด้านล่างลงไป โดยทั่วไปตาปลามักจะเกิดบริเวณนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้าเนื่องจากใส่รองเท้าคับเกินไป วิธีป้องกันไม่ให้เกิดตาปลาที่ดีที่สุด คือ การสวมรองเท้าที่ไม่คับหรือบีบเท้า และเมื่อเป็นแล้วหากจะตัดทิ้งหรือคว้านออกต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดเพราะอาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อโรคได้
3. กลิ่นตัว (odour) เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของกรดไขมันจากต่อมเหงื่อ เซลล์บุผิวที่ตายแล้ว เหงื่อรวมกับแบคทีเรียและความชื้นเกิดเป็นกลิ่นตัวขึ้น หากมีกลิ่นตัวควรอายน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ฟอกสบู่โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ขาหนีบ ใต้คอ หลังหู แล้วเช็ดตัวให้แห้ง ถ้ามีกลิ่นตัวแรง อาจใช้ก้อนสารส้มหรือลูกกลิ้งระงับกลิ่นเหงื่อทาบริเวณรักแร้หลังอาบน้ำทุกครั้ง
4. โรคราที่เท้าหรือโรคฮ่องกงฟุต (Hong Kong’s foot)หรือโรคเท้านักกีฬา(Athlete’s foot)เกิดจากติดเชื้อราที่เท้า เนื่องจากรองเท้าอับชื้นและเดินลุยน้ำสกปรก ทำให้มีการคันบริเวณซอกนิ้วเท้าและอาการคันเพิ่มมากขึ้นถ้ามีการเกาด้วยจะทำให้ผิวหนังลอกเป็นขุยๆ มีกลิ่นเหม็นหากเป็นนานๆ ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีเนื้อนูนหนา แข็ง และลอกออกเป็นขุยๆ สามารถรามไปยังนิ้วใกล้เคียงได้การป้องกันรักษาได้โดยการร้างเท้าให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้งสนิทพยายามอย่าให้เท้าอับชื้น ในกรณีมีเหงื่อออกที่บริเวณเท้ามาก อาจใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณง่ามนิ้วเท้าเพื่อช่วยให้นิ้วเท้าและผ่าเท้าแห้งได้ โรคเชื้อราที่เท้ามีการรักษาค่อนข้างยาก ควรปรึกษาแพทย์ และเมื่อหายแล้วไม่ควรนำถุงเท้าเเละรองเท้าคู่เดิมมาใช้อีก เพราะยังมีเชื้อราอยู่ ถ้าจะนำมาใช้ควรนำไปฆ่าเชื้อโดยการต้มหรือผึ่งแดด
5. ผิวแห้งกร้าน (dry’s skin) เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอกผิดปกติ ลมแรง อากาศร้อนจัด หนาวจัด การฟอกสบู่บางชนิด เช่น สบู่ยา หรือใช้สบู่บ่อยครั้งเกินไปทำให้ไขมันที่ผิวหนังลดน้อยลง ผิวหนังไม่อาจรักษาความชื้นไว้ได้จึงแห้ง เป็นขุยและแตกอย่างรุนแรง มีอาการคันและแสบอาจติดเชื้อทำให้ผิวหนังอักเสบได้ การป้องกันการเกิดผิวหนังแห้งกรานให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น หนาวจัด ร้อนจัด และสวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอย่างเหมาะสม เมื่อผิวหนังแห้งและแตกไม่ควรใช้สบู่ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งและแตกมากขึ้น ควรใช้น้ำมันหรือครีมทาผิวเพื่อรักษาความชุ่มชื่นของผิวหนังไว้และป้องกันไม่ให้น้ำระเหยจากผิวหนังมากเกินไป และควรระมักระวังในการอาบน้ำอุ่น การใช้กระเป๋าน้ำร้อน การผิงไฟกลางแจ้ง เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งและแตกมากยิ่งขึ้น
6.ฝี (abscess) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่บนผิวทั่วไป ทำให้เกิดการอักเสบที่บริเวณรอบๆขุมขน ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน หรือทางรากผม ต่อมาเป็นหนอง ระยะแรกจะมีลักษณะบวมแดง แข็ง และร้อนบริเวณที่เป็น เจ็บมาก เริ่มจากเป็นเม็ดเล็กๆ หรือก้อนแข็งแล้วโตอย่างรวดเร็ว มีหัวหนองสีเหลืองอยู่ตรงกลาง ต่อมาหัวหนองอ่อนตัวลงจนมีลักษณะนุ่มมีหนองสีเหลือง เหนียวเหลว ซึ่งมีเชื้อโรคปะปนอยู่มาก และอาจกระจายไปสู่ที่อื่นๆของร่างกายได้ การป้องกันและรักษา อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และรักษาผิวหนังให้สะอาดอยู่เสมอ ห้ามใช้เล็บหรือมือที่สกปรกแกะ เกา ผิวหนัง หากเป็นฝีห้ามบีบหรือบ่งหัวฝี จนกว่าจะมีอาการอ่อนนุ่มที่ตรงกลาง ถ้าฝีไม่แตกออก หรือเป็นหนองควรไปพบแพทย์ ถ้าปวกหรือมีไข้ให้กินยาลดไข้
2.เล็บ
- โครงสร้างของเล็บ
เล็บ (nails) เป็นส่วนของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าที่ตายแล้ว ซึ่งเจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ที่มีชีวิตในชั้นล่างที่เลื่อนขึ้นมาอัดแน่นเป็นแผ่นแข็ง ยืดหยุ่นได้ อยู่ทางด้านหลังของปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ปล้องสุดท้ายมหน้าที่ป้องกันปลายนิ้วไม่ให้ไก้รับอันตราย เล็บมีลักษณะโปร่งแสง มีส่วนที่ยืนพ้นปลายนิ้ว ซึ่งไม่มีหลอดเหลือกและประสาทมาเลี้ยง เวลาเราตัดเล็บจึงไม่รู้สึกเจ็บ ส่วนของเล็บที่ฝังอยู่ในหนังเรียกว่า รากเล็บ สองข้างของเล็บจะมีผิวหนังยื่นมาคลุมเล็กน้อย ข้างล่างมีปลายประสาทรับความรู้สึกมากมายและมีหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก ดังนั้น เมื่อมีดบาดหรือหนามตำใต้เล็บจึงเจ็บปวด ในคนที่มีสุขภาพดี สีของเล็บจะเป็นสีชมพู่เรื่อๆ ตามสีของเลือดที่สะท้อนผ่านเล็บขึ้นมา แต่ถ้าเป็นโรคโลหิตจางเล็บจะมีสีขาวซีด ร่องระหว่างแผ่นเว็บกับผิวหนังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและความสกปรกต่างๆ หนังที่คลุมเหนือโคนเล็บจึงเป็นด่านแรกที่ช่วยป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆไม่ให้เข้าไปในโคนเล็บ เวลาตัดเล็บจึงไม่ควรตัดหนังข้างเล็บออก เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย การตัดเล็บควรตัดให้ปลายโค้งมน อย่าตัดชิดนิ้วเกินไป และหมั่นรักษาเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ
ขอบคุณที่มา http://www.32begin.com/2013/04/blog-post_18.html
- หน้าที่ของเล็บ
1.ช่วยป้องกันการถูกกระทบกระเทือนที่ปลายนิ้วและช่วยส่งเสริมสุขภาพ
2.ช่วยให้การหยิบจับสิ่งต่างๆได้สะดวกขึ้น
3.ใช้สำหรับแคะ แกะ เกา ข่วน และช่วยป้องกันตัวเอง
4.ช่วยให้การเดิน วิ่ง มีประสิทธิภาพ จะพบว่าเมื่อนิ้วเท้าถูกถอดเล็บจะทำให้เดินไม่ถนัด
5.ช่วยไม่ให้ปลายนิ้วมื้อนิ้วเท้าได้รับอันตรายโดยง่าย
6.ช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในร่างกาย
- ความผิดปกติเกี่ยวกับเล็บ ได้แก่
1. เล็บขบ( ingrown nail ) มักเป็นนิ้วหัวแม่เท้าที่เกิดจากการงอกของเล็บที่กดลึกเข้าในบริเวณซอกเล็บ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอาจเป็นแผล ถ้าติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบ ให้ตัดเล็บเป็นแนวตรง ไม่ควรตัดสั้นจนเกินไป ถ้ามีอาการเล็บขบให้ทำความสะอาดมุมเล็บ และใช้สำลีชุบยาฆ่าเชื้ออุดไว้ใต้เล็บ
2. เชื้อราที่เล็บ ( tinea unguium) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทำงานที่ต้องเปียกน้ำอยู่ประจำ หรือเท้าอยู่ในที่อับชื้น อาการส่วนมากจะเป็นที่ซอกเล็บก่อน แล้วลามออกไปยังผิวหนังข้างเล็บและตัวเล็บ เล็บจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นหรือสีเหลือง เกิดมีขุยสะสมอยู่ใต้เล็บทำให้เล็บแยกออกจากเนื้อแล้วค่อยๆกร่อนลงที่ปลายแล้วลามต่อไปจนถึงโคนเล็บ การป้องกันรักษาทำได้โดยหมั่นตัดเล็บให้สั่น รักษาเล็บให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ ไม่ควรใช้เล็บเกาบริเวณที่เป็นเชื้อราเพราะเชื้อราจะติดเล็บมาได้ ถ้ามือต้องถูกน้ำบ่อยหรือแช่น้ำเป็นเวลานานให้ใช้ถุงมือยางสวมก่อนถุงเท้า รองเท้าควรรักษาให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น ถ้าเล็บเป็นเชื้อราให้ใช้ขี้ผึงรักษาเชื้อราบริเวณที่เป็น ถ้ามีอาการมากควรปรึกษาแพทย์
3.ขนหรือผม
- โครงสร้างของขนหรือผม
ขนหรือผม (hair) งอกมาจากขุมขน ซึ่งเป็นส่วนที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ที่มีชีวิตของชั้นหนังกำพร้าส่วนลึก ที่โคนได้รับเลือดจากหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงและมีเส้นประสาทคลุมอยู่ด้วย ส่วนที่โผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาเป็นส่วนของเซลล์ที่ตายแล้ว ขนมีอยู่ทั่วร่างกาย ยกเว้นในบางที่ เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า สะดือ หัวนม ริมฝีปาก ขนทุกเส้นประกอบด้วยเส้นขน รากขนและขุมขน เส้นขนจะมีต่อมสีในเซลล์เส้นผมที่ผลิตเม็ดสีลงไปในแต่ละเซลล์ของเส้นผม เม็ดสีเหล่าจะมีสีต่าง ๆ คือ ดำ น้ำตาลเข้ม และเหลืองปนแดง สีของเส้นผมขึ้นอยู่กับเม็ดสีเหล่านี้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน คนเราเมื่ออายุมากขึ้น การสร้างเม็ดสีในเซลล์ของเส้นขนจะลดน้อยลงจนกระทั่งหยุดสร้าง ผมจะเริ่มมีสีอ่อนลงและหงอกขาวในที่สุด เส้นผมแต่ละเส้นมีอายุประมาณ 7 ปีแล้วจะหลุดร่วงไป และจะมีเส้นใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ในรูขุมขนเดิม
- หน้าที่ของเส้นผม
เส้นผมมีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้หนังศีรษะได้รับความร้อนหรือความเย็นมากเกินไปและยังช่วยลดความรุนแรงจากอันตรายต่าง ๆ ที่มากระทบศีรษะ นอกจากนี้เส้นผมยังช่วยเสริมความงามให้แก่ใบหน้า และซับเหงื่อหรือสิ่งสกปรกหรือช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย
ขอบคุณ ที่มา https://www.bergamot.co.th/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A1
- ความผิดปกติของเส้นผม ได้แก่
1. ผมร่วง (alopecia) เส้นผมของคนเราจะร่วงได้ตามธรรมชาติแล้วงอกขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าหากร่วงมากกว่าปกติอาจจะมีสาเหตุมากจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยด้วยโรคเชื้อรา การแพ้ยาสระผม หรือเกิดจากต่อมน้ำมันที่โคนผมไม่ผลิตน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเส้นผม การป้องกันรักษาอาการผมร่วงแก้ไขได้โดยการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการจะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเป่าผมด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงการย้อมผม หรือการดัดผม และเมื่อเกิดความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
2. รังแค (dandruff) เกิดจากผิวหนังหรือเซลล์ที่ตายแล้วแห้งหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นหรือเป็น
ขุย ๆ มักเกาะติดอยู่กับเส้นผม ทำให้คันศีรษะและเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้ การป้องกันรักษาหมั่นสระผมเป็นประจำด้วยยาสระผมแบบอ่อน ๆ หวีหรือแปลงผมบ่อย ๆ งดใช้น้ำมันหรือครีมใส่ผม หากรังแคยังไม่หายควรรีบปรึกษาแพทย์
การบำรุงรักษาระบบห่อหุ้มร่างกาย
ระบบห่อหุ้มร่างกายมีความสำคัญต่อร่างกาย เราจึงควรบำรุงรักษาให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนี้
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนโดยเฉพาะสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของผิวหนัง เช่น พวกโปรตีน ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ วิตามินบีและวิตามินซี
2. ออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต่อมต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ทำงาน และการได้รับสงแดดอ่อน ๆในตอนเช้าและตอนเย็นร่างกายจะได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงสมบูรณ์ และมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
3. ชำระล้างร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ โดยการอาบน้ำ การกำจัดกลิ่นตัว การะสระผมและการตัดเล็บ โดยเฉพาะการอาบน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดของกล้ามเนื้อและทำความสะอาดผิวหนังได้ดี นอกจากนี้ยังทำให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังได้มากขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปี้กระเปร่า และการใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่สะอาดยังช่วยป้องกันการเกิดโรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลาก เกลื้อน ได้อีกด้วย
4. เลือกใช้เครื่องสำอาง เช่น ยาสระผม สบู่ ครีมบำรุงผิว ให้เหมาะสมกับสภาพผิวหนังของตนเอง มิฉะนั้นอาจเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นคัน หรือเกิดสิวได้
5. พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่างเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
ขอบคุณแหล่งที่มาบทความ
https://sites.google.com/site/30289pornpimol/rabb-tang-khxng-rangkay/1-2-rabb-hx-hum-ran
ได้รู้จักระบบในร่างกาย
การทำงานต่างๆของร่างกาย
เช่น การทำงานของผิวหนัง การงอกเล็บใหม่
ดีค่ะ ได้ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของร่างกาย
ได้ความรู้องค์ประกอบร่างกาย
ดีๆๆคับ
ได้เรียนรู้การเล่นบาสเกตบอล และได้ออกกำลังกายได้รับประโยชฯ์ และสนุกสนานมากค่ะ
ได้เรียนรู้จักวิธีการเล่นกีฬาบาสเกตบอล และได้ความสนุกสนาน และได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ
ได้รู้จักเกี่ยวกับประวัติของกีฬาบาสเกตบอล กฎกติกา มารยาทเกี่ยวการเล่นกีฬาบาสเกตบอล และได้ฝึกเล่นกีฬาบาสเกตบอลด้วยค่ะ สนุกค่ะสนุก
ได้รับความรู้มากมายเลย เช่น ได้รู้วิธีการเล่น กฏกติกา และยังได้รับประโยชน์มากมายด้วยล่ะ
แถมยังได้ออกกำลังกายอีกด้วยสุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกต่างหาก
ได้รู้จักวิธีการเล่นกีฬาบาสเก็ตบอล กติกาการเล่นและรู้ว่าบาสเก็ตบอลเล่นอย่างไร