ขอบคุณที่มาบทความ http://academic.obec.go.th/textbook/web/images/book/1003947_example.pdf
การวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว
1.การวางแผนดูแลสุขภาพ
การวางแผนดูแลสุขภาพ หมายถึง การกำหนดรูปแบบในการดูแลสุขภาพตามที่ต้องการรวมถึงวัตถุประสงค์วิธีดำ เนินการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อการมีสุขภาพที่ดี การวางแผนดูแลสุขภาพจะช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นในการดูแลสุขภาพและสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างสมาชิกในครอบครัวนำ ไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
2.หลักการวางแผนและการปฏิบัติตามแผนดูแลสุขภาพ
การวางแผนดูแลสุขภาพควรยึดหลักการหรือกระบวนการดังนี้ หลักการวางแผนแบบ Deming คือ หลักการควบคุมคุณภาพที่เรียกว่า วงจรเดมมิง (Deming) เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายจึงต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ4ขั้นตอนดังนี้
1. P(Plan)คือการวางแผนเพื่อตั้งเป้าหมายเลือกปัญหาและวางแผนการแก้ปัญหา
2. D (Do)คือการลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
3. C (Check)คือการตรวจสอบผลแล้วเปรียบเทียบผล
4. A (Action)คือการนำผลการตรวจสอบมาปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
3.วิธีการวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัว
การวางแผนดูแลสุขภาพ ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆดังนี้
3.1 โภชนาการ การวางแผนรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม จะส่งผลให้มีสุขภาพดีซึ่งต้องรับประทานอาหาร ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย โดยกำหนดรายการอาหารแต่ละวันเพื่อให้ได้อาหารครบทั้ง 5หมู่ ซึ่งอาจวางแผนกำหนดเป็นช่วงสัปดาห์
การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัยปฏิบัติได้ดังนี้
วัยทารกควรได้รับนมมารดาเพียงอย่างเดียวจนถึงอายุ6 เดือน
วัยเด็กต้องการได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายซึ่งกำลังเกิด การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการในทุกๆด้านสารอาหารต้องครบ5หมู่
วัยรุ่น มีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงท้ายที่ร่างกายจะเจริญเติบโต ร่างกายต้องการพลังงานและโปรตีนจำนวนมากซึ่งวัยรุ่นชายต้องการพลังงานมากกว่าวัยรุ่นหญิงเล็กน้อย
วัยผู้ใหญ่ ร่างกายหยุดการเจริญเติบโต แต่ยังต้องการพลังงานและโปรตีนเพื่อช่วย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและนำ พลังงานไปใช้ในการทำ งานประกอบอาชีพ และการดำ เนินชีวิต
วัยสูงอายุ ร่างกายมีความเสื่อมถอยลงควรได้รับสารอาหารครบ5หมู่และมีการควบคุม อาหารในแต่ละมื้อให้ย่อยง่าย ปริมาณพอเหมาะ เน้นการนำสารอาหารมาซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ มากกว่าการนำ พลังงานไปใช้เพียงอย่างเดียว
3.2 การออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำ ให้อวัยวะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนจึงต้อง ออกกำลังกายโดยอาจปฏิบัติร่วมกันในครอบครัว หรือตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดย ศึกษารูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสม กับวัย เพศ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ควรปฏิบัติครั้งละไม่ตํ่ากว่า 30นาทีสำหรับผู้ที่มี โรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน
3.3 การพักผ่อน การพักผ่อนช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และสร้างเสริมร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงยิ่งขึ้น การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ช่วยให้ร่างกายได้พักและซ่อมแซมส่วนต่างๆโดยระยะเวลาการนอนหลับ ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามวัย เช่น วัยทารกควรนอนวันละ 18-20 ชั่วโมง วัยเด็กและวัยรุ่น ควรนอนวันละประมาณ 8-9 ชั่วโมง วัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุควรนอนวันละประมาณ 7-8 ชั่วโมง การนอนหลับจึงต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับวัย การทำกิจกรรมนันทนาการก็เป็นการพักผ่อนที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์และความเครียด
3.4 การตรวจสุขภาพ ทุกคนในครอบครัวต้องรู้จักสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองและบุคคลในครอบครัว การวางแผนการตรวจสุขภาพนั้น จะแตกต่างไปตาม เพศและวัย เช่น วัยทารกต้องได้รับการตรวจสุขภาพ ตามคำแนะนำ ของแพทย์วัยเรียนต้องได้รับการฉีด วัคซีนและตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ1ครั้งวัยผู้ใหญ่ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง การตรวจ สุขภาพก่อนสมรสหรือมีบุตรทั้งเพศชายและเพศหญิง จำ เป็นต้องตรวจ เพื่อเตรียมความพร้อมและลด ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และวางแผนครอบครัวในอนาคต ได้อย่างเหมาะสม
4.การสำรวจปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพของตนเอง และบุคคลในครอบครัว
เพื่อทราบสาเหตุของปัญหาสุขภาพ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆเช่น พฤติกรรมบุคคลสภาพร่างกาย กิจวัตรประจำวันการรับประทานอาหารการพักผ่อนสภาพแวดล้อมสุขาภิบาลซึ่งดำ เนินการได้ดังนี้ 4.1 สอบถามถึงสภาพของปัญหาสุขภาพที่เกิดกับแต่ละบุคคล 4.2 สืบค้นเกี่ยวกับปัจจัยซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ โดยการสังเกตสัมภาษณ์จดบันทึก หรือใช้แบบสอบถามอย่างง่ายช่วยในการเก็บข้อมูลเพื่อหาสาเหตุซึ่งการสำรวจอาจแบ่งได้เป็น2ส่วนคือ สำรวจข้อมูลบุคคลจะเก็บข้อมูลจากสมาชิกในครอบครัวเป็นรายบุคคล สำรวจข้อมูลส่วนรวมจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว 4.3 นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการวางแผนดูแลสุขภาพต่อไป
(ตัวอย่างแบบสำรวจปัญหาสุขภาพอย่างง่าย)
5. ประโยชน์ของการวางแผนดูแลสุขภาพ ของตนเองและบุคคลในครอบครัว
5.1 ทำ ให้มองเห็นวิธีดำ เนินการที่จะปฏิบัติหรือเลือกปฏิบัติเพื่อการดูแลสุขภาพอย่างเป็นระบบ ทั้งการดูแลสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัว
5.2 ทำ ให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตทั้งของตนเองและบุคคล ในครอบครัว
5.3 ลดภาวะความเจ็บป่วย ความพิการ หรือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เป็นการป้องกันการเกิด ภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพเบื้องต้น
5.4 ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของครอบครัว ลดภาระและประหยัดงบประมาณ ในด้านการให้บริการสุขภาพหรือการรักษาพยาบาลของรัฐ
5.5 เป็นการสร้างความเข้มแข็งแก่สังคมลดปัญหาด้านการสาธารณสุขเพราะประชาชนมีสุขภาพดี
ค่านิยมในเรื่องเพศที่เหมาะสมกับวัฒนธรรม
ขอบคุณที่มาบทความ https://sites.google.com/site/sukhsuksam4/home/bth-thi-4-phes-kab-wathn-thr-rmi
ค่านิยมในเรื่องเพศ
ค่านิยม หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด การให้คุณค่าหรือเชื่อถือที่มีต่อสิ่งหนึ่งค่านิยมทางเพศจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกการให้คุณค่า ดังนั้น วัยรุ่นจึงให้ความสนใจและทำความเข้าใจในเรื่องเพศและค่านิยมทางเพศ
1.เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
นักเรียนจะเห็นได้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นเรื่องเพศจึงไม่ใช่เรื่องนารังเกียจหรือเลวร้ายไม่สามารถนำมาสนทนาได้แต่เราควรกล่าวในทางสร้างสรรค์ หลีกเลี่ยงในการปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศหรือ ในทางลามกอนาจาร
2.เพศชายและเพศหญิงและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันตามหลักสิทธิมนุษยชน
ในอดีตสงคมไทยให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง เพราะบทบาทในการประกอบสัมมาอาชีพเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวนั้นส่วนใหญ่เป็นของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน จัดเตรียมอาหาร ดูแลบุตร แต่ในปัจจุบันเพศหญิงมีโอกาสในการได้รับการศึกษา การประกอบอาชีพและสถานภาพทางสังคมเท่าเทียมกับเพศชาย ดังนั้น เราจึงควรเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของตนเองเช่นเดียวกับการเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของเพศตรงข้าม
3.ค่านิยมทางเพศอาจแตกต่างกันไปตามสภาพสังคม ประเพณี และ วัฒนธรรม
นักเรียนจะเห็นได้ว่าในแต่ละสังคมจะมีขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ วิถีการดำเนินชีวิตและองค์ประกอบอื่นๆ ของสงคมที่แตกต่าง เนื่องจาบุคคลในสังคมก็มีความแตกต่างกัน รวมทั้งค่านิยมในเรื่องเพศค่านิยมบางอย่างอาจมีความเหมาะสมกับอีกสงคมหนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกสังคมหนึ่ง ดังนั้นการจะรับค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมอื่นมาใช้ต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบ ว่าค่านิยมนั้นเหมาะสมและเป็นการยอมรับของสังคมไทยหรือไม่
4.ในสังคมเดียวกันอาจมีความเชื่อ ค่านิยมทางเพศ และการแสดงออกในเรื่องเพศที่แตกต่างกัน
การที่คนเรามีความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งมีการอบรมจากครอบครัว มีสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ทางเพศที่ต่างกัน ทำให้บุคคลมีการแสดงออกทางเพศที่ต่างกัน ดังนั้นนักเรียนควรใช้วิจารณญาณในการปฏิบัติตนตามแบบอย่างที่เหมาะสม
5.การแสดงออกของการกระตุ้นทางเพศของมนุษย์
แต่ทุกคนมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นดังกล่าวให้เหมาะสมกับตน เช่น ในบุคคลที่ยังไม่สมรสก็ไม่ควรตอบสนอกการกระตุ้นโดยการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากก่อให้เกิดผลกระทบตามมา เช่น ตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ตามมา การเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งก็จะทำให้ตนเองและครอบครัวเกิดความเดือดร้อนและเป็นทุกข์ จึงควรหาทางออกที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา เช่น การเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การเล่นกีฬา
6.ปฏิบัติตนเกี่ยวกับเรื่องเพศและมีพฤติกรรมทางเพศทางเพศควรสอดคล้องกับจารีตประเพณีของสังคม
ในสังคมทุกสังคมจะมีข้อกำหนดหรือแนวทางปฏิบัติตนในเรื่องเพศตามธรรมนองครองธรรม เพื่อความดีงามและความสงบเรียบร้อยของสังคม เช่น ในสังคมไทยจะมีสำนวนโวหารที่แสดงถึงค่านิยมทางเพศที่ดีในสังคม เช่น การรักนวลสงวนตัวเข้าตามตรอกออกตามประตู เป็นต้น
7.ควรตระหนักว่าเรื่องเพศนั้นมีความเกี่ยวข้องกับชีวิต
และมีความหมายกว้างขวางเกี่ยวกับคนเราในหลายมิติ ทั้งด้านเสรีวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา และจริยธรรมเรื่องเพศมิได้หมายความว่าเฉพาะเรื่องระบบสืบพันธุ์และการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น
8.การมีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับวัยจะช่วยลดความเสี่ยงต่อปัญหาทางเพศ
การมีพฤติกรรมทางเพศที่เกินวัยจะก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบตามมาหลายประการ เช่น นักเรียนหญิงที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนควรหลีกเลี่ยงการแต่งกายที่รัดรูปหรือเปิดเผยจนเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เช่น การใส่เสื้อเอวลอย สวมกระโปรงหรือกางเกงเอวต่ำจนเกินไป การนุ่งสั้นหรือใส่เสื้อเกาะอก เพราะการแต่งตัวเช่นนี้เป็นการยั่วยุอารมณ์และอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเพศตามมา
ค่านิยมเรื่องเพศและวัฒนธรรมไทย
ประเทศไทยตั้งแต่ซีกโลกตะวันออก เป็นประเทศที่มีคำนบประเพณีธรรมเนียมและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพัวมาช้านานโดยเฉพาะค่านิยมเรื่องเพศ ซึ่งสามารถจำแนกได้สองมุมมอง ดังนี้
1.ค่านิยมทางเพศที่ถูกต้อง
- การรักนวลสงวนตัว
- การเข้าตามตรอก ออกตามประตู
- การมีรักเดียวใจเดียว
- การไม่ชิงสุกก่อนห่าม
- ชายไทยต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว
2.ค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้อง
- การพูดหรือสื่อสารในเรื่องเพศเป็นเรื่องหยาบคาย หรือ น่าอับอาย
- การไม่เผยแพร่ความจริงในเรื่องเพศ
- การยกย่องให้คุณค่าเพศชายเหนือกว่าเพศหญิง
- การใช้ถุงยางอนามัยถูกตีค่าในด้านลบว่าเป็นการไม่ไว้ใจกัน
ค่านิยมเรื่องเพศในสังคมตะวันตก
- การนัดพบหรือการออกเดท [Dating]
- การทดลองอยู่ด้วยกัน
- การแสดงออกความรักใคร่อย่างเปิดเผย
พฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย
ในสังคมไทยปัจจุบันขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมยังคงเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิต และมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ สำหรับสังคมไทยถือว่าความบริสุทธิ์ และการไม่มีเพศสัมพันธุ์ก่อนแต่งงาน เป็นสิ่งที่ดีงามตามวัฒนธรรมไทย ดังนั้นการวางตัวต่อเพศตรงข้าม ในระหว่างที่คบหาสมาคมกัน เป็นเรื่องสำคัญที่นักเรียนต้องให้ความสนใจ การวางตัวอย่างเหมาะสม เช่น
การแสดงพฤติกรรมของเพศหญิงนั้นจะต้องทำตัวให้เพศชายยกย่อง และให้เกียรติ โดยฝ่ายหญิงจะต้องเข้าใจว่า การที่ผู้หญิงกล้าเกินไป ไม่ถือเนื้อถือตัวและให้ความสนิทสนมกับผู้ชายมากๆ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาศให้ผู้ชายสามารถล่วงเกินได้ง่ายขึ้น การวางตัวที่ดีและระมัดระวังตัวไม่ปล่อยให้สนิทสนมกับใครๆ โดยง่ายขึ้น เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งสำหรับกุลสตรี ซึ่งผู้ชายโดยทั่วไปมักจะให้ความยกย่องนับถือ หรือภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาได้มีโอกาศแต่งงานกับผู้หญิงที่มีลักษณะนี้ ในทางเดียวกัน ผู้ชายที่ดีหรือมีความเป็นสุภาพบุรุษนั้น จะต้องให้เกียรติและยกย่องสุภาพสตรี การวางตัวต่อเพศตรงข้าม ที่เหมาะสมต่อวัฒนธรรมไทยนั้น ควรปฏิบัติดังนี้
- การปฏิบัติตนของผู้ชาย
ให้เน้นที่ความเป็นสุภาพบุรุษและความมีคุณธรรมประจำใจ คือ ไม่ล่วงเกินทางกาย ไม่พูดทะลึ่ง ไม่พูดจาหลอกลวงฝ่ายหญิง วางตัวให้เหมาะสมและเป็นที่หน้าไว้ใจของฝ่ายหญิง ชายเป็นเพศที่แข็งแรงกว่าควรปกป้องฝ่ายหญิงมากกว่าการไปทำร้ายร่างกาย และ ควรช่วยเหลือฝ่ายหญิงเท่าที่ตัวเองจะทำได้ด้วย
- การปฏิบัติตนของผู้หญิง
ให้เน้นที่ความเป็นสุภาพสตรีและรักนวลสงวนตัว มีความละอาย คือ ควรสงวนท่าที ไม่อยู่ในที่ลับตา ไม่ควรไปเที่ยงเตร่ตามลำพัง หรือกับเพศตรงข้าม ไม่ยินยอมให้ฝ่ายชายถูกเนื้อต้องตัว ในการวางตัวต่อฝ่ายชาย โดยที่ไปต้องนับถือความเป็นกุลสตรีของตัวเอง
ความคิดเห็น